วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

บทที่ 2


การจัดองค์การ

1. 💣ความหมายของการจัดองค์กร การจัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและหน้าที่การงาน โดยกำหนดเป็นแผนภูมิที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจถึงอานาจหน้าที่ ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล เพื่อทาให้ เกิดการทางานที่มีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุเป้าหมายได้

2.  😚 องค์ประกอบของการจัดองค์กร 1. การแบ่งงานกันทา (Division of work) การแยกงานหรือรวมหน้าที่การงานที่มีลักษณะเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน ไว้ด้วยกัน หรือแบ่งงานตามลักษณะเฉพาะของงาน 2. การจัดแผนกงาน (Departmentalization) การจัดแผนกงานจะเป็นการจัดกลุ่มงานที่ได้แบ่งแยกออกให้เป็นหมวดหมู่ที่จะ สามารถบริหารจัดการหรือดูแลได้อย่างเหมาะสม 3. การกระจายอานาจหน้าที่ (Distibution of authority) การกระจายอานาจหน้าที่ จะทาให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถบริหารงานและตัดสินใจ ได้อย่างเหมาะสมและแก้ปัญหาได้ทันกับสถานการณ์มากขึ้น

3. 😃  องค์ประกอบของการจัดองค์กร (ต่อ) 4. การประสานงาน (Co-ordination) การประสานงานในแผนกและกลุ่มต่างๆ เพื่อให้เกิดการบรรลุเป้าหมายขององค์กร ซึ่งมีกลไกที่ช่วยให้เกิดการประสานงาน ดังนี้ กฎระเบียบ มาตรฐานการทางาน และขั้นตอนการปฏิบัติงาน สายการบังคับบัญชา แผนงาน การกาหนดผู้ทาหน้าที่ประสานงาน คณะทางาน ทีมงาน จัดตั้งแผนงานเพื่อทากิจกรรมการประสานงาน

4. 😅การออกแบบโครงสร้างภายในองค์กร โครงสร้างขององค์กร คือ แบบแผนที่กาหนดขอบเขตของงานและ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กรในรูปของอานาจหน้าที่ และสายการบังคับบัญชา แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. โครงสร้างองค์กรแบบราบ (Flat organizational structure) 2. โครงสร้างองค์กรแบบสูง (Tall organizational structure )

5. ❤โครงสร้างองค์กรแบบราบ (Flat organizational structure) เป็นโครงสร้างขององค์กรที่เริ่มก่อตั้งใหม่ หรือเป็นองค์กรขนาดเล็ก ที่มีตาแหน่ง งานไม่สลับซับซ้อน โครงสร้างองค์กรแบบสูง (Tall organizational structure) เป็นโครงสร้างขององค์กรขนาดใหญ่ที่มีสายการบังคับบัญชาลดหลั่นกันลง ไปตามลาดับชั้นอย่างสลับซับซ้อนมากมาย โครงสร้างขององค์กรยิ่งสูงขนาดของ การควบคุมยิ่งแคบ แบบราบ แบบสูง

6. ✌สามารถแบ่งออกเป็น 3 ข้อใหญ่ ดังนี้ 1.การสร้างโครงสร้างองค์กร หรือ แผนภูมิองค์กร ประกอบด้วย 1.1 ช่วงการควบคุม (Span of Control) หมายถึง จานวนบุคคลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบุคคล 1 คน ซึ่ง สาหรับผู้บริหารระดับสูงสุดนั้นไม่ควรเกิน 4 คน แต่ผู้บริหารระดับล่าง อาจจะเป็น 8 ถึง 12 คน หลักการจัดองค์กร

7.✌ ระดับชั้นขององค์กร (Organization Level)  หลักการจัดองค์กร (ต่อ) ช่วงการควบคุมแบบกว้าง หมายถึง การที่ผู้บริหารหนึ่งคนมีจานวนของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามาก ในระดับบริหารเดียวกัน ผู้บริหาร ข้อดี - การสั่งการประสานงานที่รวดเร็ว - ข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจนไม่ถูกบิดเบือน - ผู้บริหารจะบริหารด้วยความรับผิดชอบที่สูง  ข้อเสีย พนักงานที่มีความรู้ความสามารถไม่สามารถเลื่อนขึ้นสู่ตาแหน่งที่สูงได้ ทาให้อัตราการลาออกจากงานมีอยู่สูงในองค์กรประเภทนี้

8.👊ผู้บริหาร ช่วงการควบคุมแบบแคบ หมายถึง การที่ผู้บริหารมีจานวนของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยตรงน้อย ข้อดี - บุคคลที่มีความสามารถจะเลื่อนขึ้นสู่ตาแหน่งที่สูงขึ้นไปได้  ข้อเสีย - ข้อมูลข่าวสารมักถูกบิดเบือน เนื่องจากความสูงขององค์กรทาให้ การสั่งการและการรายงานผลต้องกระทาทุกระดับชั้น ทาให้เกิด ความล่าช้าและผิดพลาดของข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งโครงสร้าง องค์กรแบบสูงก่อให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น 1.2 ระดับชั้นขององค์กร (Organization Level) หลักการจัดองค์กร (ต่อ)

9. 💪การจาแนกกลุ่มของกิจกรรม (Subdividing Activities) ในการจัดองค์กร จาเป็นที่จะต้องจาแนกหน่วยงานต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่มก่อน โดยสามารถจาแนกได้ จาก - หน้าที่ของงาน (Function) การตลาด การบริการ การขาย หลักการจัดองค์กร (ต่อ)

10. 💗ทำเล (Location) - ผลิตภัณฑ์ (Product) การตลาด ในประเทศ ต่างประเทศ การตลาด ตามวัตถุประสงค์ใน การซื้อของผู้บริโภค ตามลักษณะ ทางกายภาพ หลักการจัดองค์กร (ต่อ) ตามอายุการใช้งาน

11. 👺กลุ่มของลูกค้า (Classes of Customers) - กระบวนการ (Process) เช่น ภายในฝ่ายผลิตสามารถแบ่งกลุ่มเป็น กระบวนการอบชุบ, กระบวนการฟอก, กระบวนการกลั่น เป็นต้น - อุปกรณ์ (Equipment) เช่น ในทางสานักงานอาจจะแบ่งเป็นกลุ่ม คอมพิวเตอร์, กลุ่มเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า เป็นต้น การตลาด ลูกค้าขายปลีกลูกค้าขายส่ง หลักการจัดองค์กร (ต่อ)

12. 👀หลักการจัดองค์กร (ต่อ) 2. ความรับผิดชอบและอานาจหน้าที่ ผู้ที่ได้รับมอบหมายถ้ามีความรับผิดชอบใด ๆ จะต้องสามารถมีอานาจหน้าที่ในการ สั่งการควบคู่ไปด้วย เพื่อที่จะสามารถทางานให้บรรลุความรับผิดชอบที่ได้รับ มอบหมายมา 3. การกาหนดความสามารถและลักษณะจาเป็น ในแต่ละตาแหน่งงานควรกาหนดความสามารถหรือลักษณะของบุคคลที่จะมารับ ตาแหน่งงานนั้น เพื่อที่จะสามารถจัดหาบุคคลแทนได้

13. 👌การปรับโครงสร้างองค์กร (Reorganization) หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่มีความแตกต่างกันสองแบบ คือ 1. การปรับโครงสร้างใหม่ ( Restructuring ) เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนโครงสร้าง ซึ่งทรัพยากรและกิจกรรมต่าง ๆ จะถูกจัดกลุ่มและประสานกันใหม่ 2. การกาหนดโครงสร้างใหม่ ( Reconfiguration ) เกี่ยวข้องกับการเพิ่ม การแบ่ง การโอนย้าย การรวม หรือการยุบ หน่วยธุรกิจ โดยไม่ปรับเปลี่ยน โครงสร้างพื้นฐานของบริษัท

14. 💢การปรับโครงสร้างองค์กรให้ถูกต้อง ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.) ปรับตามสถานการณ์
 2.) เปลี่ยนตามจังหวะที่เหมาะสม 
3.) ใช้จุดแข็งที่มีอยู่ 
4.) กาหนดว่าระบบอื่น ๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรบ้าง


15. 💃วิธีการนาการจัดองค์กรไปใช้ ✘ พิจารณาแยกประเภทงาน ก่อนอื่นผู้บริหารต้องแยกประเภทตรวจสอบดูว่ากิจการของตนนั้นมีอะไรบ้างที่ จะต้องทา เพื่อให้กิจการได้ผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์ ✘ บรรยายลักษณะงาน ระบบขอบเขตงานและมอบหมายงาน พร้อมทั้งกาหนดความรับชอบ และอานาจ หน้าที่ ✘จัดวางความสัมพันธ์ การจัดวางความสาพันธ์ จะทาให้ทราบว่า งานต้องรายงานต่อใคร เพื่อให้งาน ส่วนต่างๆดาเนินงานต่อไปปราศจากความขัดแย้ง เพื่อให้ทางานร่วมกันอย่างมี ระเบียบ เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันทางาน มุ่งไปสู่อันเดียวกัน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น